แชร์ไปที่

เลือกแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนอย่างไรให้เหมาะกับเครื่องมือไร้สายของคุณ

เลือก แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ต้องคำนึงถึงปัจจัยใดบ้าง

บทความนี้จะช่วยคุณเลือก แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ให้ตรงกับความต้องการของเครื่องมือไร้สายของคุณ ไม่ว่าจะเป็นความจุ 2.0Ah หรือมากกว่าก็ตาม เราจะเจาะลึกวิธีเลือกความจุแบตเตอรี่ให้เหมาะกับงาน อธิบายเกี่ยวกับแบตเตอรี่ Li-ion 18V กับ 20V ว่าต่างกันหรือไม่ รวมถึงไขความหมายของค่า “C-rate” ซึ่งเป็นอัตราการจ่ายกระแสของแบตเตอรี่เครื่องมือไร้สาย ที่มีผลอย่างมากต่อพลังการทำงานและอายุการใช้งานของแบตเตอรี่

การเลือกความจุของ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ให้เหมาะกับเครื่องมือไร้สาย : เลือกกี่แบตฯ กี่แอมป์ถึงจะเหมาะสม

Ah (แอมป์-ชั่วโมง) คือหน่วยวัดความจุของแบตเตอรี่ ซึ่งบ่งบอกปริมาณกระแสไฟที่แบตเตอรี่สามารถจ่ายได้ภายใน 1 ชั่วโมง ยิ่งค่า Ah สูง แบตเตอรี่ก็ยิ่งจ่ายไฟได้นานขึ้น ตัวอย่างเช่น แบตเตอรี่ขนาด 4.0Ah จะใช้งานได้นานกว่าแบตเตอรี่ 2.0Ah ภายใต้เงื่อนไขการใช้งานเดียวกัน ดังนั้นหากคุณต้องการใช้งานเครื่องมือบ่อยหรือต้องการระยะเวลาการทำงานต่อเนื่องที่ยาวนาน การเลือกแบตเตอรี่ความจุสูงย่อมช่วยลดเวลาหยุดพักเพื่อชาร์จได้อย่างชัดเจน

หากงานของคุณเป็นงานเบา เช่น การเจาะไม้หรือขันสกรูเล็กน้อยในบ้าน และใช้งานเป็นครั้งคราว แบตเตอรี่ความจุ 2.0Ah อาจเพียงพอ จุดเด่นของแบตเตอรี่ก้อนเล็กคือมีน้ำหนักเบากว่า ทำให้เครื่องมือไร้สายของคุณถือใช้งานได้คล่องตัวและไม่เมื่อยล้าง่าย นอกจากนี้ราคาแบตเตอรี่ความจุต่ำก็มักจะประหยัดกว่า เหมาะสำหรับเจ้าของบ้านทั่วไปหรือสาย DIY ที่ไม่ได้ใช้งานหนักหรือใช้ต่อเนื่องนาน ๆ

สำหรับงานหนักหรืองานต่อเนื่อง เช่น งานช่างมืออาชีพ, งานก่อสร้าง, งานซ่อมเครื่องยนต์ หรือการตัดเจาะวัสดุแข็งที่ต้องใช้พลังสูง คุณควรเลือกแบตเตอรี่ความจุ 4.0Ah ขึ้นไป เนื่องจากแบตเตอรี่ความจุมากจะจ่ายพลังงานได้นานกว่า ทำให้ทำงานได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องหยุดเปลี่ยนแบตบ่อยๆ และเมื่องานที่ทำต้องใช้เครื่องมือกำลังสูง เช่น สว่านโรตารี่หรือเครื่องเจียรไฟฟ้า ซึ่งดึงกระแสไฟมาก แบตเตอรี่ 4.0Ah หรือ 5.0Ah จะรองรับการจ่ายไฟต่อเนื่องได้ดีกว่า นอกจากนี้ แบตเตอรี่ก้อนใหญ่ยังมักจะรักษาแรงดันได้คงที่กว่าเมื่อต้องจ่ายกระแสสูง จึงช่วยให้เครื่องมือของคุณมีกำลังไม่ตกในขณะใช้งานหนัก

ทำไมเมื่อใช้งานแบตเตอรี่กับเครื่องมือไร้สายบางชนิดแล้วแบตฯ หมดไว

ปัจจัยหลักคือ ลักษณะการใช้งานของเครื่องมือ นั่นเอง หากคุณใช้เครื่องมือในงานที่หนักเกินสเปค เช่น ใช้สว่านเจาะปูนต่อเนื่องหรือใช้ใบเลื่อยทื่อตัดวัสดุหนา เครื่องมือจะดึงกระแสไฟจากแบตเตอรี่มากเป็นพิเศษ ทำให้แบตเตอรี่หมดไว อีกทั้งการใช้งานแบบต่อเนื่องยาวนานโดยไม่พักก็ทำให้แบตเตอรี่ระบายพลังงานจนหมดเร็วกว่าการใช้เป็นช่วงๆ การตั้งค่าความเร็วหรือแรงบิดสูงสุดของเครื่องมือ (เช่น การเร่งรอบสูงสุดของเครื่องเป่าลมหรือการตั้งค้อนกระแทกแรงสุดในสว่านกระแทก) ก็เป็นการดึงพลังงานจากแบตเตอรี่อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ระยะเวลาการใช้งานต่อการชาร์จหนึ่งครั้งสั้นลงตามไปด้วย

นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมและอุณหภูมิ ก็มีผล การใช้ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ในที่หนาวจัดหรือร้อนจัดอาจลดประสิทธิภาพการจุไฟและทำให้หมดเร็วกว่าปกติ (แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ทำงานได้ดีที่สุดในช่วงอุณหภูมิห้อง) เพื่อยืดระยะเวลาใช้งาน ควรพักเครื่องมือเป็นระยะเมื่อทำงานหนัก ให้แบตเตอรี่ได้คลายความร้อน และเตรียมแบตเตอรี่สำรองไว้สลับใช้งานเมื่อทำงานต่อเนื่องนาน ๆ

การเลือกความจุแบตเตอรี่ให้เหมาะกับประเภทงานของคุณเป็นเรื่องสำคัญ ถ้างานเบาและต้องการเครื่องมือที่เบามือ เลือก 2.0Ah ที่เล็กและเบา แต่ถ้างานหนักใช้เครื่องมือต่อเนื่องนาน ควรลงทุนกับ 4.0Ah หรือ 5.0Ah ที่ให้งานต่อเนื่องยาวนาน ลดการหยุดชะงักในการชาร์จ ทั้งนี้ แบตเตอรี่ 20V ของ PUMPKIN มีให้เลือกตั้งแต่ 2.0 Ah ขึ้นไป ซึ่งทุกขนาดผ่านมาตรฐานความปลอดภัย มอก. และออกแบบวงจรภายในมาให้จ่ายไฟได้คงที่ จึงมั่นใจได้ในประสิทธิภาพไม่ว่าจะเลือกความจุใดก็ตาม

แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 18V vs 20V ต่างกันหรือไม่

หลายคนอาจสงสัยว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 18V กับ 20V นั้นให้พลังงานต่างกันจริงหรือไม่ เพราะบางแบรนด์หรือบางรุ่นก็ระบุ 18V ในขณะที่บางยี่ห้อ (เช่น PUMPKIN) ระบุ 20V ในความเป็นจริงแล้ว แบตเตอรี่ 18V กับ 20V เป็นแบตเตอรี่ประเภทเดียวกัน ที่ใช้เซลล์ลิเธียมไอออนจำนวนเท่ากัน เพียงแต่ใช้เกณฑ์การวัดแรงดันต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น

แรงดันไฟฟ้าของเซลล์ Li-ion แต่ละก้อนจะมีค่าอยู่ในช่วงหนึ่งเซลล์ประมาณ 3.6–3.7V เป็นแรงดันพิกัด (nominal) และประมาณ 4.0–4.2V เป็นแรงดันสูงสุดเมื่อชาร์จเต็ม เมื่อแบตเตอรี่ประกอบด้วยเซลล์หลายก้อนต่ออนุกรม แรงดันก็จะรวมกันตามจำนวนเซลล์ แบตเตอรี่เครื่องมือไร้สาย 18V/20V ส่วนใหญ่ประกอบด้วยเซลล์ลิเธียมไอออน 5 ก้อนต่ออนุกรม ดังนั้น: 5 เซลล์ × 3.6V (nominal) ≈ 18V และ 5 เซลล์ × 4.0V (เต็มประจุ) ≈ 20V นั่นเอง 

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องใช้แบตเตอรี่แรงดันตรงตามที่เครื่องมือออกแบบรองรับ เช่น เครื่องมือระบบ 20V ของ PUMPKIN ก็ควรใช้แบตเตอรี่ 20V ของ PUMPKIN เท่านั้น ไม่ควรนำแบตเตอรี่คนละแรงดันหรือต่างยี่ห้อมาสวม เพราะถึงแม้แรงดันใกล้เคียงกันแต่ขั้วต่อและวงจรภายในอาจไม่เข้ากัน ส่งผลให้เครื่องมือเสียหายได้

โดยสรุปแล้ว แรงดัน 18V vs 20V ของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน  เป็นเพียงการเรียกตามแรงดันเซลล์คนละแบบ ดังนั้นอย่าให้ตัวเลขนี้สร้างความสับสนในการเลือกซื้อ ให้เน้นเลือกแบตเตอรี่ที่รองรับกับระบบเครื่องมือของคุณ และสำหรับแบตเตอรี่ 20V จาก PUMPKIN ทุกก้อน ก็เป็นไปตามมาตรฐานแรงดันเดียวกับระบบ 18V ทั่วไป แต่ให้มั่นใจได้เรื่องคุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐาน มอก. ที่ได้รับการรับรอง

C-rate ในแบตเตอรี่เครื่องมือไร้สายคืออะไร สำคัญอย่างไรกับงานช่าง

นอกจากความจุ (Ah) และแรงดัน (V) อีกค่าหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับแบตเตอรี่เครื่องมือไร้สายก็คือ ค่า C-rate หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับค่านี้นัก แต่สำหรับงานช่างมืออาชีพ ค่า C-rate สามารถบ่งบอกได้ว่าแบตเตอรี่จะรองรับการใช้งานหนักได้ดีเพียงใด และส่งผลโดยตรงต่อพลังขับเคลื่อนรวมถึงอายุการใช้งานของแบตเตอรี่

ค่า C-rate ใน แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนคือคืออะไร

C-rate (ซีเรท) คืออัตราการคายประจุของแบตเตอรี่ เมื่อเทียบกับความจุของแบตเตอรี่นั้นๆ หากอธิบายอย่างง่าย ค่า C-rate บอกว่าแบตเตอรี่ลูกนั้นสามารถจ่ายกระแสไฟได้มากแค่ไหนภายใต้ภาระสูงสุด โดยสัมพันธ์กับค่า Ah ของแบตเตอรี่ลูกนั้น เช่น แบตเตอรี่ 1000 mAh (1 Ah) ที่มีค่า 30C หมายความว่าสามารถจ่ายกระแสได้สูงสุด 30 เท่าของความจุ หรือก็คือ 30 A (แอมแปร์)  ในทำนองเดียวกัน ถ้าแบตเตอรี่ 2.0Ah มีค่า 10C ก็สามารถจ่ายกระแสสูงสุดได้ 10 × 2 = 20 A เป็นต้น ดังนั้นสูตรง่ายๆ ที่ใช้ทำความเข้าใจ C-rate ก็คือ 

กระแสไฟสูงสุด (แอมป์) = ค่า C-rate × ความจุแบตเตอรี่ (Ah)

ด้านล่างคือตารางแสดงค่า C-rate พร้อมอธิบายความหมายและกระแสสูงสุดที่แบตเตอรี่สามารถจ่ายได้ในแต่ละกรณี โดยยกตัวอย่างกับแบตเตอรี่ขนาดความจุ 2.0Ah, 4.0Ah และ 5.0Ah เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน

ตารางแสดงค่า C-rate ของ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน

1C, 2C, 5C, 10C หมายถึงอะไร

ค่า C-rate มักเขียนกำกับด้วยตัวเลข เช่น 1C, 2C, 5C, 10C เป็นต้น ตัวเลขเหล่านี้แสดงถึงสัดส่วนกระแสที่จ่ายได้เทียบกับความจุของแบตเตอรี่

1C – จ่ายกระแสได้เท่ากับความจุแบตเตอรี่ต่อชั่วโมง (100%) เช่น แบตเตอรี่ 2.0Ah ที่ 1C จะจ่ายกระแส ~2.0A ต่อเนื่องได้ 1 ชั่วโมง

2C – จ่ายกระแสได้ 2 เท่าของความจุต่อชั่วโมง (200%) เช่น แบตเตอรี่ 2.0Ah ที่ 2C จะจ่ายกระแส ~4.0A ต่อเนื่อง จะใช้เวลา ~0.5 ชั่วโมงจนแบตหมด

5C – จ่ายกระแสได้ 5 เท่าของความจุ (500%) เช่น แบตเตอรี่ 2.0Ah ที่ 5C จ่ายได้ ~10A ต่อเนื่อง แบตจะหมดภายใน ~12 นาที (1/5 ชั่วโมง)

10C – จ่ายกระแสได้ 10 เท่าของความจุ (1000%) เช่น แบตเตอรี่ 2.0Ah ที่ 10C จ่ายได้ ~20A ต่อเนื่อง แบตจะหมดภายใน ~6 นาที (1/10 ชั่วโมง)

จะเห็นได้ว่า ยิ่งค่า C-rate สูง แบตเตอรี่ยิ่งจ่ายกระแสสูงสุดได้มาก แต่ขณะเดียวกันเวลาในการใช้งานต่อเนื่องก็จะสั้นลงตามสัดส่วน เพราะปล่อยประจุเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ในงานจริงเราไม่ได้ใช้งานที่กระแสสูงสุดตลอดเวลา ค่า C-rate สูงจึงมีประโยชน์ตรงที่ รองรับการดึงกระแสสูงชั่วขณะได้ โดยที่แรงดันไฟไม่ตกและแบตเตอรี่ไม่ร้อนเกินไปเมื่อเจองานหนัก

ความสัมพันธ์ระหว่าง C-rate กับความจุ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน

ค่า C-rate และความจุแบตเตอรี่ (Ah) สัมพันธ์กันโดยตรง แบตเตอรี่ความจุมากหรือน้อยไม่ได้บอก C-rate สูงหรือต่ำ เพียงแต่ความจุจะเป็นตัวคูณในการคำนวณกระแสที่จ่ายได้ ดังนั้นแบตเตอรี่ 5.0Ah 10C จะจ่ายกระแสได้ถึง 50A ในขณะที่แบตเตอรี่ 2.0Ah 10C จ่ายได้ 20A ซึ่งทั้งคู่ถือว่ามี C-rate เท่ากันคือ 10C แต่แบต 5.0Ah จะมีปริมาณประจุรวมมากกว่าจึงใช้งานได้นานกว่าเมื่อจ่ายที่กระแสเท่ากัน

สิ่งที่ควรทราบคือ เซลล์แบตเตอรี่ที่ความจุสูงมากๆ มักจะมีค่า C-rate ต่ำกว่าเซลล์ความจุน้อย (เพราะเซลล์ที่จุเยอะมักออกแบบเพื่อความจุพลังงาน ไม่ได้เน้นจ่ายกระแสสูง ดังนั้นแบตเตอรี่เครื่องมือไร้สายความจุ 5.0Ah หากใช้เซลล์ชนิดเดียวกับแบต 2.0Ah ก็มักจะต่อเซลล์แบบขนานเพิ่มเพื่อเพิ่มความจุ ซึ่งช่วยให้รองรับกระแสสูงได้ดีขึ้นโดยการกระจายโหลดกระแสไปหลายเซลล์ นั่นหมายความว่าแม้แบตเตอรี่ความจุมากจะรองรับงานได้นาน แต่ค่า C-rate โดยตัวมันเองไม่ได้เพิ่มขึ้นตามความจุ ถ้าใช้เซลล์ชนิดเดิม ดังนั้นในการเลือกซื้อ อย่าคิดว่าแบตเตอรี่ความจุสูงกว่าจะจ่ายกระแสได้สูงกว่าเสมอไป ให้ดูสเปกค่า C-rate หรือการรองรับงานหนักที่ผู้ผลิตระบุควบคู่กันด้วย

C-rate ส่งผลต่อการทำงานของ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และเครื่องมืออย่างไร

ค่า C-rate มีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพและความทนทานของแบตเตอรี่เมื่อเจองานหนัก แบตเตอรี่ที่มี C-rate สูงจะมีความต้านทานภายในต่ำ จึงสามารถจ่ายกระแสสูงได้โดยที่แบตเตอรี่ไม่ร้อนจัดเกินไป นั่นหมายความว่าเมื่อคุณใช้เครื่องมือไร้สายกับงานที่ต้องใช้พลังมาก เช่น ใช้สว่านเจาะปูนหรือเครื่องตัดโลหะหนาๆ แบตเตอรี่ที่ C-rate สูงจะสามารถจ่ายกระแสให้มอเตอร์ได้เต็มที่ ทำให้รอบมอเตอร์และแรงบิดไม่ตก ส่งผลให้งานไม่สะดุด ขณะเดียวกันความร้อนสะสมในแบตเตอรี่ก็จะน้อยกว่าเพราะแบตสามารถจ่ายกระแสได้สบาย ๆ ไม่ฝืนความสามารถ

ในทางกลับกัน หากแบตเตอรี่มี C-rate ต่ำ แต่ถูกนำไปใช้งานเกินกำลัง (ดึงกระแสเกินกว่าที่ออกแบบไว้) แบตเตอรี่จะมีอาการแรงดันตก เครื่องมือจะรู้สึกกำลังอ่อนลงอย่างชัดเจนเมื่องานนั้นต้องการพลังมาก นอกจากนี้แบตเตอรี่จะร้อนจัดเนื่องจากความต้านทานภายในสูง สุดท้ายวงจรป้องกันภายในแบตเตอรี่อาจตัดการทำงานเพื่อความปลอดภัย ทำให้เครื่องมือหยุดทำงานกลางคัน และหากฝืนใช้งานหนักบ่อยๆ จนอุณหภูมิแบตเตอรี่สูงเกินไป เซลล์แบตอาจเสื่อมสภาพเร็วหรือเกิดความเสียหายถาวรได้

กล่าวได้ว่า ค่า C-rate เหมือนกับความสามารถในการหายใจของแบตเตอรี่ ถ้างานหนักเหมือนการวิ่ง แบตเตอรี่ C-rate สูงก็เปรียบเหมือนคนที่ปอดใหญ่ หายใจได้แรงและปล่อยพลังได้เต็มที่ตลอดการวิ่ง ส่วนแบตเตอรี่ C-rate ต่ำคือคนปอดเล็กที่พอวิ่งเร็วก็เหนื่อยหอบเร็ว ต้องหยุดพักก่อนจะไปต่อ

ข้อดี-ข้อเสียของ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน C-rate สูงกับ C-rate ต่ำ

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น นี่คือข้อดีข้อเสียของแบตเตอรี่ที่มีค่า C-rate สูงเมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ C-rate ต่ำ

  • แบตเตอรี่ C-rate สูง (เช่น 10C): ข้อดีคือสามารถจ่ายไฟให้เครื่องมือที่ต้องการกระแสสูงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้เครื่องมือมีกำลังและแรงบิดสูงสุด “มาเต็ม” ทุกครั้งที่กดไก นอกจากนี้ยังเกิดความร้อนสะสมในแบตเตอรี่น้อยกว่าเมื่อใช้งานหนัก จึงลดโอกาสที่แบตเตอรี่จะตัดการทำงานหรือเสื่อมสภาพจากความร้อน ข้อเสียคือต้นทุนการผลิตสูงกว่า ทำให้ราคาแบตเตอรี่มักแพงกว่าแบตทั่วไป อีกทั้งถ้านำไปใช้กับงานเบาๆ ที่ไม่เคยดึงกระแสสูงเลย คุณอาจไม่เห็นความแตกต่างชัดเจนเมื่อเทียบกับแบต C-rate ปกติ
  • แบตเตอรี่ C-rate ต่ำ (เช่น ≤2C): ข้อดีคือราคาถูกกว่า เหมาะกับงานที่ใช้โหลดต่ำหรือใช้งานในอุปกรณ์ที่ไม่ต้องการกระแสมาก เช่น ไฟฉาย LED, วิทยุ หรือเครื่องมือช่างขนาดเล็กบางประเภท ข้อเสียคือ ไม่ทนงานหนัก ถ้านำไปใช้กับเครื่องมือไฟฟ้าที่มอเตอร์ใหญ่ต้องการกระแสสูง แบตเตอรี่จะจ่ายไฟได้ไม่เต็มที่ ทำให้อุปกรณ์ทำงานได้ไม่เต็มกำลัง เสี่ยงต่อการเกิดความร้อนสูงและแบตเตอรี่เสื่อมเร็วจากการใช้งานเกินพิกัด

ทำไมเครื่องมือไร้สายถึงต้องใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน C-rate สูง

เครื่องมือไร้สายสำหรับช่างมืออาชีพ เช่น สว่านโรตารี่, สว่านกระแทก, เครื่องเจียรไฟฟ้า, เครื่องเป่าลม, เลื่อยวงเดือน, เครื่องตัดหญ้าไฟฟ้า เป็นต้น ล้วนแต่ใช้มอเตอร์กำลังสูงที่ต้องการกระแสไฟมากในช่วงการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเจองานหนัก เช่น เจาะคอนกรีต แข่งขันขันโบลต์ขนาดใหญ่ หรือตัดโลหะหนา เครื่องมือเหล่านี้ต้องการแบตเตอรี่ที่สามารถจ่ายกระแสสูงทันทีที่กดสวิทช์เพื่อสร้างแรงบิดและความเร็วรอบตามต้องการ

ค่า C-rate ที่สูงจึงมีความสำคัญมาก เพราะมันแสดงถึงความสามารถของแบตเตอรี่ในการรองรับ “โหลดฉับพลัน” เหล่านี้ นั่นคือเมื่อมอเตอร์ต้องการกระชากกระแสสูงๆ แบตเตอรี่ก็สามารถส่งให้ได้โดยแรงดันไม่ตกจนเครื่องมือตันหรือหมุนช้าลง การมีแบตเตอรี่ C-rate สูงจึงเปรียบเสมือนการมีแหล่งพลังงานที่พร้อมจ่ายไฟดั่ง “ถังน้ำใหญ่เปิดก๊อกแรง” มอเตอร์จะดึงพลังไปใช้ได้เต็มที่ ส่งผลให้คุณทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพกว่า

อีกเหตุผลคือ เรื่องความทนทานและอายุการใช้งานของแบตเตอรี่เอง แบตเตอรี่ที่ถูกออกแบบมาให้มี C-rate สูงมักใช้เซลล์และวงจรคุณภาพสูงที่ทนกระแสและความร้อนได้ดี ดังนั้นในการใช้งานจริง เมื่อเรานำแบตเตอรี่เหล่านี้มาใช้งานกับเครื่องมือ ไฟที่จ่ายออกมาจะเสถียรและมีความร้อนสะสมต่ำกว่า ส่งผลให้เซลล์แบตเตอรี่ไม่เสื่อมสภาพเร็ว สามารถชาร์จ-คายประจุได้หลายรอบอายุนานขึ้น ตรงข้ามกับแบตเตอรี่ทั่วไปที่ถ้าเอามาใช้งานเกินกำลังบ่อยๆ จะเสื่อมเร็วมาก

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน C-rate ต่ำเกินไปกับเครื่องมืองานหนัก

หากคุณเผลอนำแบตเตอรี่ที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับงานหนัก (ค่า C-rate ต่ำ) ไปใช้งานกับเครื่องมือที่กินไฟมาก ปัญหาที่อาจพบได้คือ

  • เครื่องมือกำลังตกและทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ: แบตเตอรี่ C ต่ำจะมีแรงดันตกคร่อมภายในสูงเมื่อจ่ายกระแสมาก ส่งผลให้แรงดันที่ไปถึงมอเตอร์ต่ำกว่าปกติ มอเตอร์ก็จะหมุนช้าลงหรือแรงบิดลดลง งานเจาะ/ตัดจะช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
  • แบตเตอรี่ร้อนจัดและตัดวงจร: ความร้อนคือศัตรูของแบตเตอรี่ Li-ion แบต C ต่ำเมื่อจ่ายกระแสเกินตัวจะร้อนเร็วมาก แบตเตอรี่เครื่องมือไร้สายส่วนใหญ่มีเซ็นเซอร์ความร้อนและวงจรป้องกัน เมื่ออุณหภูมิสูงเกินขีดจำกัด วงจรจะตัดการจ่ายไฟทันทีเพื่อป้องกันอันตราย กรณีนี้คุณจะพบว่าเครื่องมือหยุดทำงานกะทันหัน ต้องรอให้แบตเย็นลงถึงจะใช้ต่อได้
  • แบตเตอรี่เสื่อมอายุเร็ว: การใช้งานแบตเตอรี่เกินสเปคบ่อยๆ เช่น ดึงกระแสสูงเกินจนแบตเตอรี่ร้อนจัด จะเร่งกระบวนการเสื่อมของเซลล์ภายใน ทำให้ความจุแบตเตอรี่ลดลงอย่างรวดเร็ว ได้จำนวนรอบชาร์จน้อยลง บางครั้งถึงขั้นเซลล์เสียหายบวมพองหรือแบตเตอรี่เสียเลยก็มี ซึ่งไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่นำมาใช้งานผิดประเภท

ดังนั้น ควรเลือกแบตเตอรี่ให้ตรงกับประเภทงาน หากเครื่องมือของคุณเป็นประเภท Heavy-Duty ก็ควรใช้แบตเตอรี่ที่ผู้ผลิตแนะนำสำหรับงานหนัก และสำหรับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 20V จาก PUMPKIN ทุกรุ่นทุกความจุ ตั้งแต่ 2.0Ah ขึ้นไป ล้วนถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งานเครื่องมือไร้สายทุกรูปแบบอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะงานเบาหรืองานหนัก 

จุดเด่นสำคัญของ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน PUMPKIN คือ มีค่า C-rate สูงถึงระดับ 10C ทำให้สามารถจ่ายพลังงานได้ต่อเนื่องและรองรับการใช้งานกับเครื่องมือกำลังสูงได้เป็นอย่างดี การเลือกใช้แบตเตอรี่ PUMPKIN 20V ที่มี C-rate สูงนี้ไม่เพียงช่วยให้เครื่องมือไร้สายของคุณทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ แรงไม่ตกเมื่อต้องใช้งานหนัก แต่ยังช่วย ยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ เองให้ยาวนานขึ้น เพราะแบตเตอรี่ไม่ต้องทำงานหนักเกินขีดจำกัดบ่อย ๆ นั่นเอง 

ดังนั้นหากคุณกำลังมองหาแบตเตอรี่สำหรับเครื่องมือไร้สายคู่ใจ อย่าลังเลที่จะเลือกแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 20V จาก PUMPKIN ที่ทั้งทรงพลัง ปลอดภัย ได้มาตรฐาน และไว้วางใจได้ เพื่อให้การทำงานของคุณลื่นไหลไม่มีสะดุดในทุกสถานการณ์


เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ (Cookies)
Pumpkin ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์ และ นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเรา

บริษัท พัมคิน คอร์ปอเรชัน จำกัด (“บริษัท”) เก็บข้อมูลของท่านเพื่อใช้ในการสั่งซื้อสินค้และรับประกันสินค้า และขอความยินยอมในการนำข้อมูลไปใช้ทางการตลาด โดยท่านสามารถดูรายละเอียดข้อมูลที่เก็บ ระยะเวลาการเก็บ การใช้สิทธิเปลี่ยนแปลงข้อมูลหรืออื่นๆ และข้อมูลการติดต่อได้ที่รายละเอียด (กดดูรายละเอียด)

0
No products in the cart.