แชร์ไปที่

เลือกหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่น PM 2.5 จาก PUMPKIN

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนไทยส่วนใหญ่เริ่มรู้จักและคุ้นเคยกับสิ่ง ๆ ที่เรียกว่า ฝุ่น PM2.5 ที่มักมาเยือนในช่วงหน้าแล้ง ปกคลุมน่านฟ้าหลายพื้นที่ของประเทศไทยตั้งแต่ช่วงปลายฤดูหนาวลากยาวจนถึงช่วงฤดูร้อน ซึ่งต้นตอหลัก ๆ ของปัญหาควันพิษที่เกิดขึ้นนั้น มีทั้งปัญหาไฟป่าและการเผาผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะในหลายจังหวัดทางภาคเหนือที่มีสถิติผู้ป่วยด้วยโรคจากมลพิษทางอากาศนับแสนคนต่อปี ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโรคผิวหนังอักเสบ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ตามด้วยกลุ่มโรคตาอักเสบ โรคหลอดเลือดสมอง โรคคออักเสบ โรคหลอดลมอักเสบ โรคปอดอักเสบ โรคจมูกอักเสบเรื้อรัง โรคหอบหืด ไข้หวัดใหญ่ โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ตลอดจนถึงโรคที่จะส่งผลกระทบต่อร่างกายระยะยาว

เมื่อพูดถึงปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย หนึ่งในปัจจัยที่ถูกพูดถึงเป็นลำดับต้น ๆ คือเรื่องไฟป่า หมอกควันที่เกิดจากไฟป่า เกิดจากการสันดาปที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้เกิด ควันไฟ ฝุ่นละออง หมอก ขี้เถ้า และแก๊สพิษต่าง ๆ เช่น ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO), ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2), ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และ ก๊าซโอโซน (O3) เป็นต้น โดยมลพิษพวกนี้จะปนเปื้อนอยู่กับอนุภาคหมอกควัน ซึ่งแน่นอนว่าพื้นที่ที่อากาศแห้ง นิ่ง ไม่มีลมพัด จะเสี่ยงที่จะได้รับสารมลพิษมากกว่าพื้นทื่อื่น เพราะฝุ่นละอองเหล่านี้ สามารถแขวนลอยในอากาศได้นานมาก ยิ่งมีขนาดเล็กยิ่งแขวนลอยได้นานเป็นปี

มลพิษทางอากาศในภาคเหนือนั้นจะสูงกว่าที่อื่น เพราะว่าภูมิประเทศของภาคเหนือนั้นมีภูเขาล้อมรอบ ทำให้เกิดการสะสมมลพิษ แถมยังรับแรงความกดอากาศสูงจากประเทศจีน ทำให้ช่วงเช้าอากาศจะชื้น เมื่อละอองน้ำในอากาศชื้นเหล่านี้รวมตัวกับสารมลพิษในอากาศก็จะเกิดเป็นหมอกพิษปกคลุมไปทั่วเมือง

นอกจากฝุ่นควันที่เกิดขึ้นจากไฟป่าแล้ว การเผาในภาคการเกษตรยังเป็นอีกต้นเหตุในการก่อให้เกิดฝุ่นพิษ PM 2.5 การเผาหลังเก็บเกี่ยวข้าว อ้อย และพืชอื่น ๆ โดยสสารมลพิษในอากาศ จะอยู่ใน 2 รูปแบบคือ รูปแบบก๊าซ และรูปแบบอนุภาคแขวนลอย ซึ่งจะปนเปื้อนอยู่ในอากาศที่เราหายใจเข้าไปอยู่ทุกวัน โดยสุขภาพของเราจะได้รับผลกระทบจากสารมลพิษแตกต่างกันไปตามขนาดของฝุ่นละออง ความเข้มข้น และระยะเวลาที่สัมผัส รวมไปถึงสภาพร่างกายของผู้ที่รับมลพิษเข้าไป

นอกจากควันพิษจากไฟป่าและภาคการเกษตรที่ส่งผลกระทบในหลายจังหวัดและสามารถพัดพาไปได้ไกลจนปกคลุมเกือบทั่วประเทศแล้ว ผู้อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก็ยังต้องเผชิญกับมลภาวะจากท่อไอเสียและการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ไม่สมบูรณ์จากรถยนต์และจักรยานยนต์ ก่ออันตรายต่อร่างกายเมื่อหายใจเอาก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซนี้จะทำปฏิกิริยากับ ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง กลายเป็นคาร์บ๊อกซี่ฮีโมโกลบิน ทำให้การลำเลียงอ๊อกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไม่เพียงพอถ้ามีก๊าซนี้ในอากาศที่เราหายใจเพียง 60 ส่วนในล้านส่วน จะทำให้เกิดอาการ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หมดสติ ในกรณีที่มีก๊าซนี้เกิน 5,000 ส่วนในล้านส่วนของอากาศที่เราหายใจจะทำให้เกิดอันตรายถึงตายได้

กลับมาที่ฝุ่นพิษ PM 2.5 ซึ่งเป็นฝุ่นขนาดเล็กจิ่ว โดยขนาดอนุภาคที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์คือ อนุภาคที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5-10 ไมครอน หรือเรียกว่า สารอนุภาค (Particulate Matter) PM10 และ อนุภาคที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 2.5 หรือเรียกว่า สารอนุภาค (Particulate Matter) PM2.5 โดยหมอกควันไฟจะปนเปื้อนไปด้วย ฝุ่นละอองขนาด PM2.5 และ PM10 โดยเจ้าฝุ่น PM2.5 นี้จะสามารถเข้าสู่ปอดและกระจายไปทั่วร่างกายได้โดยง่ายและส่งผลกระทบต่อร่างกายได้มากกว่าที่คิด ทั้งอาการเจ็บป่วยเฉียบพลันและสะสมเป็นผลเสียต่อสุขภาพระยะยาว

บทเรียนจากปัญหาฝุ่นพิษที่เกิดขึ้นหลายปีที่ผ่านมาน่าจะทำให้หลายคนตระหนักแล้วว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาที่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย และคนไทยน่าจะต้องอยู่ในสภาพอากาศไม่สะอาดเช่นนี้กันไปอีกนาน รวมถึงการระบาดของโควิดที่กลายพันธุ์จนกลายเป็นโรคประจำถิ่นที่วนกลับมาระบาดอยู่เนือง ๆ เพราะฉะนั้นแล้วการป้องกันดูแลสุขภาพของทุกคน ทุกเพศทุกวัยจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม 

ด่านแรกที่จะป้องกันทั้งเชื้อโรคและควันพิษเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย สามารถใช้งานได้ทุกวัน นั่นก็คือการสวมใส่หน้ากากอนามัยนั่นเอง แต่ไม่ใช่ว่าหน้ากากอนามัยทั่วไปตามท้องตลาดจะสามารถป้องกันฝุ่นควันพิษและเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งหมด บทความนี้พัมคินจะชวนทุกท่านมาเช็คให้ชัวร์ว่าหน้ากากอนามัยแบบไหนที่จะตอบโจทย์การป้องกันฝุ่น PM 2.5 และเชื้อโรคต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เช็คให้ชัวร์ เลือกหน้ากากอนามัยอย่างไรให้กันได้ทั้งฝุ่นและเชื้อโรค

เลือกใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์

หน้ากากอนามัยที่มีประสิทธิภาพควรเป็นหน้ากากอนามัยที่ระบุว่า หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ / Medical mask / Hygienic Mask หรือ Surgical mask หากบนกล่องมีข้อความเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งระบุเอาไว้ก็มั่นใจได้ว่าสวมใส่แล้วปลอดภัยแน่นอน  หน้ากากอนามัยทางการแพทย์แบบใช้แล้วทิ้งที่พบเห็นได้ทั่วไป ช่วยป้องกันได้ตั้งแต่โรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ป้องกันฝุ่นและเกสรดอกไม้ขนาดเล็กได้ถึง 3 ไมครอน และที่สำคัญคือ ป้องกันเชื้อไวรัส และป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสจากคนสู่คนได้มากถึง 99% เป็นหน้ากากอนามัยที่แพทย์สวมใส่ปฏิบัติหน้าที่

ประสิทธิภาพการป้องกันสารคัดหลั่ง, แบคทีเรีย และอนุภาคขนาดเล็ก

บนกล่องหน้ากากอนามัยจะมีตัวย่อภาษาอังกฤษเขียนกำกับเอาไว้ ตัวย่อเหล่านี้แสดงถึงประสิทธิภาพการป้องกันของหน้ากากอนามัย ควรเลือกใช้หน้ากากอนามัยที่มีตัวย่อ ตัวย่อ BFE ซึ่งหมายถึงประสิทธิภาพในการกรองและป้องกันเชื้อแบคทีเรีย หน้ากากอนามัยที่มีตัวย่อ BFE กำกับไว้จะสามารถกรองอนุภาคแบคทีเรียขนาดเล็กตั้งแต่ 3 ไมครอน ขึ้นไป เช่น เกสรดอกไม้ ละอองสารคัดหลั่ง ฝุ่นละออง ควรเลือกที่ BFE ตั้งแต่ 98% ขึ้นไป

3 ชั้นชัวร์สุด

หลังการระบาดหนักของเชื้อไวรัสหลายต่อหลายระลอกทั่วโลก CDC (Centers for Disease Control) หรือศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อในสหรัฐอเมริกา แนะนำให้สวมใส่หน้ากาก 2 ชั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ให้มากขึ้น โดยสวมหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ไว้ด้านใน และสวมหน้ากากผ้าทับเอาไว้ด้านนอก จะช่วยเพิ่มความกระชับ และลดช่องว่างระหว่างใบหน้ากับหน้ากากอนามัย ป้องกันไม่ให้มีเชื้อไวรัสหรือละอองฝอยจากสารคัดหลั่งเล็ดลอดเข้าไปได้ ในปัจจุบันการผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์จึงมีการออกแบบให้มีจำนวนชั้นหนาขึ้น เพื่อป้องกันเชื้อโรค ฝุ่นพิษ และยังสามารถกระชับใบหน้าและสวมใส่สบายอีกด้วย

มีประสิทธิภาพด้านการป้องกันแล้วต้องสวมใส่สบายด้วย

หน้ากากอนามัยที่สวมใส่สบายจะทำให้สามารถสวมใส่ได้ทั้งวัน ลดการใส่ ๆ ถอด ๆ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงต่อการรับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายผ่านทางการหายใจและการสัมผัส

ไอเทมแนะนำหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ 3 ชัน “Take Care Plus”

ข่าวเตือนกันให้วุ่น ว่าฝุ่น PM 2.5 เริ่มกลับมาอีกแล้ว โดยเฉพาะในเขต กทม. และ ปริมณฑล และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย เราก็เลยกลับมาผลิตหน้ากากอนามัยที่จะให้คุณได้สวมใส่ได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัยทุกวัน พร้อมการปกป้อง 3 ชั้น “Take Care Plus” มีให้เลือกทั้งสีขาวและสีเขียว ป้องกันเชื้อโรคอยู่หมัด สกัดฝุ่นละอองอย่างมั่นใจ ปลอดภัยในทุกวัน ด้วย “Take Care Plus” หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ 3 ชั้น มาตรฐานสินค้าพัมคินแบรนด์คนไทย

  • เป็นหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ป้องกันได้ตั้งแต่โรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ป้องกันฝุ่นและเกสรดอกไม้ขนาดเล็กได้ถึง 3 ไมครอน และที่สำคัญคือ ป้องกันเชื้อไวรัส และป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสจากคนสู่คนได้มากถึง 99%

  • มาตรฐานการป้องกัน BFE มีประสิทธิภาพในการกรองและป้องกันเชื้อแบคทีเรีย หน้ากากอนามัยที่มีตัวย่อ BFE กำกับไว้จะสามารถกรองอนุภาคแบคทีเรียขนาดเล็กตั้งแต่ 3 ไมครอน ขึ้นไป เช่น เกสรดอกไม้ ละอองสารคัดหลั่ง ฝุ่นละออง ควรเลือกที่ BFE ตั้งแต่ 98% ขึ้นไป

  • หนา 3 ชั้น โดยชั้นนอกมีแผ่นกรองกันน้ำ ป้องกันสารคัดลอง ละอองฝอยต่าง ได้เป็นอย่างดี ชั้นกลางกรองและป้องกันอนุภาคแบคทีเรียขนาดเล็กตั้งแต่ 3 ไมครอนได้ถึง 99% และแผ่นกรองชั้นในสุดมีความอ่อนนุ่ม โอบกระชับใบหน้า ทำให้สวมใส่สบาย ใส่ได้ทั้งวัน

  • ผลิตจากวัตถุดิบที่สะอาด ได้มาตรฐาน มีความแข็งแรงทั้งตัวหน้ากากและหูเกี่ยว ไม่ขาดง่าย


เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ (Cookies)
Pumpkin ให้ความสำคัญต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ แสดงว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์ และ นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเรา

บริษัท พัมคิน คอร์ปอเรชัน จำกัด (“บริษัท”) เก็บข้อมูลของท่านเพื่อใช้ในการสั่งซื้อสินค้และรับประกันสินค้า และขอความยินยอมในการนำข้อมูลไปใช้ทางการตลาด โดยท่านสามารถดูรายละเอียดข้อมูลที่เก็บ ระยะเวลาการเก็บ การใช้สิทธิเปลี่ยนแปลงข้อมูลหรืออื่นๆ และข้อมูลการติดต่อได้ที่รายละเอียด (กดดูรายละเอียด)

0
No products in the cart.