เลื่อยไฟฟ้า : เครื่องมือสำคัญสำหรับงานช่าง งานสวน และงานเกษตร
เลื่อยไฟฟ้า ถือเป็นอุปกรณ์ช่างที่มีบทบาทสำคัญในหลากหลายสาขางาน ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้าง (งานช่างไม้และช่างก่อสร้าง), งานดูแลสวน หรือแม้แต่งานเกษตรกรรม เลื่อยชนิดนี้ช่วยให้การตัดวัสดุต่าง ๆ เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เมื่อเทียบกับเลื่อยมือแบบดั้งเดิม เลื่อยไฟฟ้าสามารถลดแรงและเวลาที่ใช้ในการตัด ทำให้ผู้ใช้งานทำงานได้มากขึ้นในเวลาที่น้อยลง นอกจากนี้ยังให้ความแม่นยำในการตัดสูง ช่วยให้งานออกมาประณีตและลดความเสียหายต่อวัสดุโดยรอบ
เลื่อยไฟฟ้ามีหลายประเภทตามลักษณะการใช้งาน ทั้งเลื่อยวงเดือนสำหรับตัดไม้แผ่นในงานช่างไม้ เลื่อยจิ๊กซอสำหรับงานตกแต่ง และเลื่อยโซ่สำหรับตัดกิ่งไม้หรือต้นไม้ใหญ่ ในบริบทของงานสวนและงานเกษตร เลื่อยไฟฟ้าแบบเลื่อยโซ่ (chainsaw) นับว่าขาดไม่ได้สำหรับการตัดแต่งกิ่งไม้ ตัดต้นไม้ หรือเตรียมฟืน ซึ่งช่วยทุ่นแรงได้อย่างมหาศาล ในงานช่างก่อสร้างเอง เลื่อยไฟฟ้าก็มีบทบาทในการตัดไม้แปรรูปหรือวัสดุก่อสร้างบางอย่าง เช่น การตัดเสาไม้ใหญ่หรือโครงไม้หนาที่เลื่อยมือทำได้ยาก
กลุ่มผู้ใช้งานเลื่อยไฟฟ้า
- เกษตรกรและชาวสวน: ในภาคการเกษตร เลื่อยไฟฟ้า (โดยเฉพาะประเภทเลื่อยโซ่) เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับเกษตรกรและชาวสวนในการตัดแต่งกิ่งไม้ ตัดโค่นต้นไม้ที่หมดอายุหรือกีดขวางพื้นที่ รวมถึงเตรียมฟืนหรือไม้ใช้งานในฟาร์ม ผู้ใช้งานกลุ่มนี้มักเน้นเครื่องมือที่พกพาสะดวกและใช้งานง่าย เนื่องจากอาจต้องทำงานในพื้นที่กว้างหรือพื้นที่ห่างไกลจากแหล่งพลังงานไฟฟ้า
- ผู้รับจ้างตัดไม้และธุรกิจดูแลต้นไม้: กลุ่มผู้รับเหมาตัดต้นไม้หรือนักปีนต้นไม้ตัดกิ่ง (arborist) ใช้เลื่อยไฟฟ้าเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการตัดแต่งต้นไม้ตามบ้าน สวนสาธารณะ หรือพื้นที่โครงการต่าง ๆ เลื่อยโซ่ไฟฟ้าที่มีขนาดเหมาะสมจะช่วยให้การตัดแต่งเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ กลุ่มนี้รวมถึงธุรกิจรับจัดแต่งสวนที่มักต้องการเครื่องมือตัดกิ่งไม้ที่คล่องตัว
- เจ้าของบ้านและสายงาน DIY: ผู้ที่รักการทำสวนหรืองานช่างด้วยตนเอง (DIY) มักมีเลื่อยไฟฟ้าติดบ้านไว้สำหรับงานสารพัดประโยชน์ เช่น ตัดกิ่งไม้ที่ยื่นเกะกะบ้าน ตัดไม้ฟืนสำหรับเตาผิง กลุ่มผู้ใช้ตามบ้านจะมองหาเลื่อยไฟฟ้าที่ใช้งานง่าย น้ำหนักเบา และมีระบบความปลอดภัยเพียงพอ
กลุ่มผู้ใช้งานที่หลากหลายนี้สะท้อนให้เห็นว่าเลื่อยไฟฟ้าเป็นเครื่องมือที่เข้าถึงได้ในทุกระดับ ไม่ว่าจะใช้ในงานอุตสาหกรรมหรือใช้ส่วนตัวที่บ้าน ทั้งยังตอบโจทย์งานช่าง งานสวน และงานเกษตรในทุกขนาดโครงการ
ข้อดีของเลื่อยไฟฟ้าไร้สาย (ใช้แบตเตอรี่)
การใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ (โดยมากคือแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน) แทนการเสียบปลั๊กไฟโดยตรง หรือเลื่อยแบบใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ทำให้ข้อดีของ เลื่อยไฟฟ้า ไร้สายที่โดดเด่นมีดังนี้
- คล่องตัวและพกพาสะดวก: การไร้สายไฟทำให้ผู้ใช้สามารถพกเลื่อยไปใช้งานได้ทุกที่ ไม่ต้องพึ่งพาปลั๊กไฟหรือต่อสายพ่วงให้ยุ่งยาก ในงานสวนหรืองานเกษตรที่มักอยู่ห่างไกลจากแหล่งจ่ายไฟ เลื่อยไฟฟ้าไร้สายช่วยให้ทำงานได้ต่อเนื่องไร้ข้อจำกัด นอกจากนี้ยังสามารถปีนขึ้นที่สูงหรือลงพื้นที่ต่ำโดยไม่ต้องกังวลว่าสายไฟจะพันหรือขวางทาง
- ใช้งานง่ายและประหยัดเวลา: เลื่อยไฟฟ้าไร้สายสมัยใหม่ออกแบบให้พร้อมใช้งานในไม่กี่ขั้นตอน เพียงใส่แบตเตอรี่ก็พร้อมตัดได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาสตาร์ทเครื่องยนต์แบบเลื่อยยนต์น้ำมัน การกดปุ่มหรือไกสวิตช์เพื่อเริ่มใช้งานทำได้ทันใจ ทำให้งานตัดเสร็จรวดเร็วขึ้น
- ปลอดภัยกว่าในหลายด้าน: การไม่มีสายไฟช่วยลดความเสี่ยงที่ผู้ใช้จะสะดุดสายไฟล้ม หรือการเผลอตัดโดนสายไฟขณะใช้งาน ในขณะเดียวกัน เลื่อยไฟฟ้าไร้สายไม่มีการปล่อยควันไอเสียหรือเชื้อเพลิงรั่วไหลเหมือนเลื่อยโซ่ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง จึงลดความเสี่ยงด้านสุขภาพและอัคคีภัย อีกทั้งเครื่องยนต์ไฟฟ้ามักมีระบบตัดวงจรเมื่อเกิดความร้อนสูงหรือการลัดวงจรของแบตเตอรี่ ทำให้การทำงานมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น
- ระดับเสียงและการสั่นสะเทือนต่ำ: เลื่อยโซ่แบบใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจะมีเสียงดังและการสั่นมาก ในขณะที่เลื่อยไฟฟ้าไร้สายโดยทั่วไปมีเสียงเงียบกว่าและสั่นน้อยกว่า (เช่น ระดับเสียงราว 95 เดซิเบลในบางรุ่น) การที่เสียงเบาลงช่วยลดมลภาวะทางเสียงและเพิ่มความสบายให้ผู้ใช้และคนรอบข้าง โดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานในพื้นที่ชุมชนหรือย่านที่อยู่อาศัย
- บำรุงรักษาง่าย: เครื่องยนต์ไฟฟ้าไม่ต้องการการดูแลรักษามากเท่าเครื่องยนต์น้ำมัน ไม่มีการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หัวเทียน หรือกรองอากาศ สิ่งที่ผู้ใช้ต้องดูแลหลัก ๆ คือ การชาร์จแบตเตอรี่ให้พร้อมใช้งาน ตรวจสอบความตึงของโซ่เลื่อย หล่อลื่นโซ่ตามความจำเป็น และทำความสะอาดเศษขี้เลื่อยหลังใช้งาน ซึ่งเป็นงานบำรุงรักษาขั้นพื้นฐานที่ทำได้ง่าย
ด้วยข้อดีเหล่านี้ เลื่อยไฟฟ้าไร้สายจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับทั้งมืออาชีพและผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความสะดวกและปลอดภัยในการทำงานตัดไม้ ตัดแต่งกิ่ง หรือใช้งานในงานช่างต่าง ๆ โดยไม่ยุ่งยากเรื่องสายไฟหรือเครื่องยนต์ซับซ้อน

วิธีการเลือก เลื่อยไฟฟ้า ไร้สายให้เหมาะกับงาน
เมื่อพิจารณาจะซื้อ เลื่อยไฟฟ้าไร้สาย สักเครื่อง ควรคำนึงถึงปัจจัยหลายประการเพื่อให้ได้รุ่นที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณ ดังนี้:
- ขนาดใบเลื่อยหรือบาร์โซ่: ขนาดของใบเลื่อยหรือบาร์โซ่ (เช่น 8 นิ้ว, 11.5 นิ้ว, 14 นิ้ว เป็นต้น) จะกำหนดความสามารถในการตัดของเลื่อย ยิ่งบาร์ยาวก็ยิ่งตัดชิ้นงานที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ได้มากขึ้น แต่ก็มักมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วย หากงานหลักคือการตัดแต่งกิ่งไม้หรือไม้ขนาดเล็กในสวน เลื่อยโซ่บาร์ขนาดประมาณ 6-8 นิ้วก็เพียงพอและคล่องตัว แต่หากต้องตัดต้นไม้ใหญ่หรือตัดไม้ฟืนขนาดโต ควรเลือกรุ่นที่มีบาร์ยาว 10-12 นิ้วขึ้นไป
- กำลังและประเภทของมอเตอร์: เลื่อยไฟฟ้าไร้สายที่ดีควรมาพร้อมมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง ปัจจุบันมอเตอร์ไร้แปรงถ่าน (Brushless Motor) ได้รับความนิยมเนื่องจากให้แรงบิดสูงกว่า มอเตอร์ไร้แปรงถ่านมีกำลังสม่ำเสมอและมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า ทั้งยังต้องการบำรุงรักษาน้อยกว่า ควรตรวจสอบแรงดันไฟฟ้าของเครื่อง (เช่น 18V, 20V, 40V ขึ้นอยู่กับระบบแบตเตอรี่ของผู้ผลิต) ยิ่งแรงดันสูงมักหมายถึงกำลังที่มากขึ้น แต่ทั้งนี้ควรสมดุลกับขนาดและน้ำหนักเพื่อไม่ให้เครื่องหนักเกินไปสำหรับงานของคุณ
- ระบบแบตเตอรี่และความจุ: แบตเตอรี่เป็นหัวใจสำคัญของเลื่อยไร้สาย ควรเลือกระบบแบตเตอรี่ที่น่าเชื่อถือและมีความจุ (แอมป์-ชั่วโมง, Ah) เพียงพอกับการทำงาน หากต้องใช้งานต่อเนื่องนาน ๆ ควรเลือกแบตฯ ความจุสูง (เช่น 4.0Ah หรือ 5.0Ah) หรือมีแบตเตอรี่สำรองไว้สับเปลี่ยน แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเป็นมาตรฐานในปัจจุบัน เพราะจุพลังงานได้มาก น้ำหนักเบา และไม่มีผลกระทบจากความทรงจำ (memory effect) นอกจากนี้ควรตรวจสอบว่าระบบแบตเตอรี่ของผู้ผลิตนั้นสามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือชนิดอื่น ๆ ได้หรือไม่ เผื่อในอนาคตจะขยายชุดเครื่องมือ (เช่น แบตเตอรี่ 20V ของบางแบรนด์ใช้ได้กับสว่าน เลื่อย และเครื่องมือช่างอื่นในซีรีส์เดียวกัน)
- น้ำหนักและการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์: น้ำหนักของเลื่อยไฟฟ้ามีผลอย่างมากต่อความสะดวกในการใช้งาน หากต้องใช้งานนาน ๆ หรือยกสูง (เช่น เลื่อยตัดกิ่งไม้บนต้น) ควรเลือกรุ่นที่น้ำหนักเบาและจับถนัดมือ มีการออกแบบด้ามจับตามหลักสรีรศาสตร์ รวมถึงมีวัสดุหุ้มยางลดการลื่นและดูดซับแรงสั่นสะเทือน สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดความเมื่อยล้าและความเสี่ยงบาดเจ็บจากการใช้งานเป็นเวลานาน
- ระบบความปลอดภัย: เลื่อยไฟฟ้าที่ดีควรมีระบบนิรภัยเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ เช่น สวิตช์ล็อกนิรภัย ที่ต้องกดปลดล็อกก่อนเริ่มใช้งาน ป้องกันการเผลอกดไกโดยไม่ตั้งใจ, เบรคโซ่ (Chain Brake) ที่หยุดการทำงานของโซ่ทันทีเมื่อมีแรงสะบัด (kickback) หรือเมื่อผู้ใช้ปล่อยไก, การป้องกันการโอเวอร์โหลดและความร้อน (ในระบบวงจรไฟฟ้า) เพื่อป้องกันมอเตอร์ไหม้หรือแบตเตอรี่เสียหาย นอกจากนี้ แผ่นบังมือหรือการ์ดป้องกันขี้เลื่อย ก็ควรมีเพื่อป้องกันเศษไม้กระเด็นใส่มือผู้ใช้
ฟังก์ชันเสริมและอุปกรณ์ประกอบ: รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ สามารถเพิ่มความสะดวกได้มาก เช่น ระบบปรับความตึงโซ่แบบไม่ต้องใช้เครื่องมือ (Tool-less Chain Tensioner) ที่ให้ผู้ใช้หมุนปรับโซ่ให้ตึงพอดีได้ง่ายๆ, ระบบหล่อลื่นโซ่อัตโนมัติ ที่ตัวเครื่องจะคอยหยดน้ำมันหล่อลื่นให้โซ่อยู่เสมอ ช่วยยืดอายุการใช้งานโซ่และบาร์, หน้าต่างใสสำหรับตรวจระดับน้ำมันโซ่, หรือความสามารถในการติดตั้ง อุปกรณ์เสริม เช่น ด้ามต่อความยาว สำหรับตัดกิ่งไม้บนที่สูง เป็นต้น คุณสมบัติเหล่านี้ควรพิจารณาตามลักษณะงานที่จะนำไปใช้จริง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลื่อยไฟฟ้า (FAQ)
ถาม: เลื่อยไฟฟ้ากับเลื่อยยนต์น้ำมัน (เลื่อยโซ่น้ำมัน) แตกต่างกันอย่างไร
ตอบ: ความแตกต่างหลักอยู่ที่แหล่งพลังงานและการบำรุงรักษา เลื่อยไฟฟ้าใช้มอเตอร์ไฟฟ้า (จากไฟบ้านหรือแบตเตอรี่) จึงสตาร์ทง่าย แค่กดปุ่มหรือไกก็เริ่มงานได้ทันที ไม่มีไอเสียหรือกลิ่นน้ำมัน เสียงเงียบกว่า และแทบไม่ต้องบำรุงรักษาเครื่องยนต์ ส่วนเลื่อยยนต์น้ำมันใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (เติมน้ำมันเบนซินผสมออโต้ลูป) ต้องดึงเชือกสตาร์ทเครื่องและอุ่นเครื่องก่อนใช้งาน มีไอเสียและเสียงดังมากกว่า แต่เลื่อยน้ำมันมักมีกำลังสูง เหมาะกับงานตัดโค่นต้นไม้ใหญ่หรือใช้งานต่อเนื่องหนักๆ เป็นเวลานาน การบำรุงรักษาเลื่อยน้ำมันจะยุ่งยากกว่า เช่น เปลี่ยนหัวเทียน ทำความสะอาดคาร์บูเรเตอร์ เป็นต้น ส่วนเลื่อยไฟฟ้าเน้นใช้งานสะดวกในงานทั่วไปหรือพื้นที่ที่ต้องการความเงียบและปลอดมลพิษ
ถาม: จำเป็นต้องใช้น้ำมันหล่อลื่นโซ่กับเลื่อยไฟฟ้าไหม
ตอบ: จำเป็นต้องใช้น้ำมันหล่อลื่นโซ่กับเลื่อยโซ่ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเลื่อยไฟฟ้าหรือเลื่อยน้ำมันก็ตาม การหล่อลื่นโซ่ช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างโซ่กับบาร์ ทำให้การตัดลื่นไหลและลดการสึกหรอของโซ่กับบาร์อย่างมาก เลื่อยไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ มักมีระบบปั๊มหรือหยดน้ำมันอัตโนมัติ ผู้ใช้เพียงเติมน้ำมันหล่อลื่น (เช่น น้ำมันเครื่อง SAE 10W-30, 10W-40) ลงในกระปุกน้ำมันของเครื่อง ตามคู่มือกำหนด จากนั้นระบบจะจ่ายน้ำมันไปหล่อเลี้ยงโซ่เองขณะใช้งาน หากเลื่อยไฟฟ้ารุ่นใดไม่มีระบบจ่ายน้ำมันอัตโนมัติ ผู้ใช้ก็ควรหยดน้ำมันบนโซ่เป็นระยะขณะใช้งาน เพื่อป้องกันโซ่ไหม้หรือสึกหรอเร็ว นอกจากนั้นหลังใช้งานควรเช็ดทำความสะอาดคราบน้ำมันและเติมน้ำมันให้พร้อมสำหรับการใช้งานครั้งต่อไป
ถาม: ต้องดูแลรักษาเลื่อยไฟฟ้าไร้สายอย่างไรเพื่อให้อายุการใช้งานยืนยาว
ตอบ: การดูแลรักษาเลื่อยไฟฟ้าไร้สายทำได้ไม่ยาก และจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องมือได้มาก:
- ทำความสะอาดหลังใช้: ทุกครั้งหลังใช้งาน ควรปิดเครื่อง ถอดแบตเตอรี่ออก และใช้แปรงหรือผ้าสะอาดปัดเศษขี้เลื่อย เศษฝุ่น และคราบน้ำมันออกจากโซ่ บาร์ และตัวเครื่อง ไม่ควรปล่อยให้เศษไม้หรือคราบยางไม้อุดตันอยู่เพราะจะทำให้โซ่ฝืดและเกิดสนิมได้
- ตรวจสอบความตึงของโซ่: ก่อนและหลังใช้งาน ควรเช็คว่าโซ่มีความตึงที่เหมาะสม ไม่หย่อนเกินไปจนอาจหลุดออกจากบาร์ และไม่ตึงเกินไปจนฝืด ควรปรับความตึงตามคู่มือที่กำหนด (ทั่วไปคือเมื่อดึงโซ่ให้ยกขึ้นจากบาร์เล็กน้อยแล้วฟันโซ่ยังไม่โผล่ออกจากร่องบาร์) หากเลื่อยมีลูกบิดปรับโซ่ก็ใช้ให้สะดวก
- หล่อลื่นโซ่และบาร์: ตรวจระดับน้ำมันหล่อลื่นโซ่ในกระปุก (ถ้ามี) ให้เพียงพอก่อนใช้งานทุกครั้ง หากรุ่นที่ไม่มีระบบหล่อลื่นอัตโนมัติ ก็ควรเหยาะน้ำมันบนโซ่เป็นระยะระหว่างการใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อตัดไปสักพักและรู้สึกโซ่เริ่มแห้ง อย่าให้โซ่ทำงานแบบแห้งๆ เด็ดขาดเพราะจะร้อนและสึกเร็ว
- ชาร์จและเก็บรักษาแบตเตอรี่อย่างถูกวิธี: ใช้แท่นชาร์จที่มากับแบตเตอรี่หรือที่ผู้ผลิตแนะนำเท่านั้น ไม่ชาร์จแบตทิ้งไว้นานเกินจำเป็น และไม่ปล่อยให้แบตเตอรี่หมดประจุค้างไว้เป็นเวลานาน การเก็บแบตเตอรี่ควรเก็บในที่แห้ง อุณหภูมิห้อง ไม่วางไว้ในที่ร้อนจัดหรือแดดโดยตรง และควรชาร์จแบตฯ ประมาณ 40-60% หากต้องเก็บยาวนานโดยไม่ใช้งาน เพื่อถนอมเซลล์แบตฯ
- ลับโซ่หรือเปลี่ยนโซ่เมื่อจำเป็น: ฟันโซ่ที่คมจะช่วยให้ตัดไม้ได้เร็วและปลอดภัยกว่า หากใช้งานไปนาน ๆ แล้วรู้สึกว่าเลื่อยตัดช้าลงหรือต้องออกแรงกดมากขึ้น อาจถึงเวลาที่ต้องลับคมโซ่ (สามารถใช้ตะไบลับโซ่ขนาดที่เหมาะสม) หรือเปลี่ยนโซ่เส้นใหม่หากโซ่เดิมสึกหรอมากแล้ว
- ตรวจสอบน็อตและสกรู: เป็นระยะ ๆ ให้ตรวจดูว่าน็อตยึดบาร์หรือสกรูส่วนต่าง ๆ แน่นดีอยู่หรือไม่ การสั่นสะเทือนระหว่างใช้งานอาจทำให้คลายตัวได้บ้าง ควรขันให้แน่นพอดี (แต่อย่าฝืนขันแน่นเกินไปจนเกลียวหวาน)
การดูแลรักษาตามคำแนะนำข้างต้นนี้จะช่วยให้เลื่อยไฟฟ้าไร้สายของคุณทำงานได้เต็มประสิทธิภาพอยู่เสมอ ลดโอกาสชำรุดเสียหาย และมีอายุการใช้งานที่ยืนยาว คุ้มค่ากับการลงทุน

พัมคิน ครบทุกเรื่องเครื่องมือช่าง ตอบโจทย์ทุกกลุ่มผู้ใช้งานด้วย เลื่อยไฟฟ้า ไร้สาย 8 นิ้ว และ 11.5 นิ้ว
พัมคิน (PUMPKIN) ยืนยันความครบเครื่องในโลกของเครื่องมือช่าง ด้วยการนำเสนอเลื่อยไฟฟ้าไร้สายที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทั้งงาน DIY และการตัดไม้ระดับมืออาชีพอย่างแท้จริง โดยมีให้เลือก 2 รุ่น คือ เลื่อยโซ่ไร้สายขนาด 8 นิ้ว และ 11.5 นิ้ว
เลื่อยไฟฟ้าไร้สาย 8 นิ้ว รุ่น INF-8CSB เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงาน DIY งานช่างทั่วไป หรืองานตัดแต่งไม้ขนาดเล็ก เช่น ตัดกิ่งไม้ ตกแต่งสวน และซ่อมแซมโครงสร้างไม้ ด้วยขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา และพลังขับเคลื่อนจากแบตเตอรี่ 20V ที่ช่วยให้ทำงานได้อย่างคล่องตัวในทุกพื้นที่ โดยไม่ต้องพึ่งพาสายไฟ
ขณะที่เลื่อยโซ่ไร้สายขนาด 11.5 นิ้ว รุ่น INF-115CSB ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงานหนัก ตอบโจทย์ผู้ตัดไม้มืออาชีพ เช่น การตัดท่อนไม้ขนาดกลาง การเตรียมไม้สำหรับงานก่อสร้าง และงานตัดไม้ภาคสนาม ให้กำลังตัดต่อเนื่อง มั่นใจในความแรงและความทนทาน พร้อมโซ่คุณภาพสูงที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้นานกว่าทั่วไป
ทำไมต้องเลือก เลื่อยไฟฟ้า ไร้สาย 2 รุ่นนี้จากพัมคิน
เพราะพัมคินผสานเทคโนโลยีไร้สายเข้ากับมาตรฐานความปลอดภัย มอบประสิทธิภาพการตัดที่ทั้งคล่องตัวและเชื่อถือได้ เหมาะกับทุกระดับการใช้งาน ตั้งแต่ช่างมือสมัครเล่นจนถึงช่างมืออาชีพ ที่ต้องการเครื่องมือช่างที่พร้อมลุยไปได้ทุกที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องแหล่งพลังงาน
เลื่อยโซ่ไร้สายขนาด 8 นิ้วและ 11.5 นิ้วจากพัมคิน คือคำตอบสำหรับคนที่ต้องการเครื่องมือที่ทั้งทรงพลัง พกพาสะดวก และปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นงาน DIY เล็ก ๆ หรือการตัดไม้ระดับมืออาชีพ พัมคินพร้อมเป็นคู่ใจที่ทำให้งานตัดไม้ทุกประเภทง่ายขึ้นกว่าที่เคย ในบทความต่อไป เราจะชวนทุกท่านมาทำความรู้จักทุกมุมมองของ เลื่อยไฟฟ้า ไร้สาย ทั้ง 2 รุ่นนี้ ในบทความ ครบเครื่อง เรื่องเลื่อยไฟฟ้า ตอนที่ 2 : เจาะลึกเลื่อยไฟฟ้าไร้สาย 8 นิ้ว และ 11.5 นิ้ว จากพัมคิน